Thai / English

เสนอ คสช.ออกกฎคุมห้ามแรงงานข้ามชาติทำงานพี่เลี้ยงเด็กไทย หวั่นเสียความเป็นไทย



07 .. 57
ประชาไท

กุมารแพทย์เป็นห่วงพ่อ แม่ยุคใหม่ที่จ้างแรงงานข้ามชาติมาช่วยเลี้ยงลูกหรือมาทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กเล็ก จะเสี่ยงต่อการสูญสิ้นอัตลักษณ์ความเป็นคนไทยในเด็กรุ่นใหม่ แนะ คสช.ออกกฎคุมห้ามแรงงานข้ามชาติทำงานพี่เลี้ยงเด็ก เพื่อสงวนอาชีพพี่เลี้ยงเด็กไว้เฉพาะแรงงานคนไทย

6 ส.ค. 2557 สำนักข่าวไทยรายงานว่า พญ.ดวงพร อัศวราชันย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา และผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นแพทย์ตรวจสุขภาพแรงงานข้ามชาติประจำศูนย์ลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ แสดงความเป็นห่วงการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติในกลุ่มอาชีพพี่เลี้ยงเด็ก หรือคนรับใช้ในบ้านแต่มาทำหน้าที่เลี้ยงเด็กแรกเกิดจนถึง 5 ขวบ ซึ่งส่วนใหญ่นายจ้างชาวไทยมักนิยมจ้างแรงงานข้ามชาติมาเลี้ยงลูก แทนการเลี้ยงดูของพ่อ แม่ หรือปู่ ย่า ตา ยาย เหมือนในอดีต เนื่องจาก พ่อ แม่ยุคใหม่ไม่มีเวลา เพราะต้องทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัว ประกอบกับครอบครัวไทยในปัจจุบันเป็นครอบครัวเดี่ยว ไม่ใช่ครอบครัวใหญ่อย่างในอดีตที่มีปู่ ย่า ตา ยาย อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าว พ่อแม่ยุคใหม่ที่มีกำลังทรัพย์พอจึงหาคนมารับจ้างเลี้ยงเด็ก พร้อมเฝ้าบ้าน และทำงานบ้านด้วย เรียกได้ว่า จ้าง 1 แต่ได้ถึง 3 คือเลี้ยงลูก เฝ้าบ้าน และช่วยทำงานบ้านบ้าง ซึ่งแต่ก่อนมักจะจ้างพี่เลี้ยงคนไทย เช่น คนจากภาคอีสาน หรือภาคเหนือ มาเป็นคนดูแลลูก ซึ่งก็จะพบว่าลูกมีพฤติกรรมบางอย่างติดมาจากพี่เลี้ยง เช่น ลูกของพ่อ แม่คนภาคกลาง แต่ฟังและพูดภาษาอีสานได้ หรือกินข้าวเหนียวเป็น ซึ่งตรงจุดนี้ไม่ถือว่าเป็นอันตราย เพราะไม่ว่าจะคนภาคอีสานหรือภาคใด ก็ล้วนแต่เป็นคนไทย ซึ่งมีนิสัยและอัตลักษณ์ของชนชาติเป็นคนไทยเหมือนกัน โดยเฉพาะในเรื่องความมีน้ำใจ โอบอ้อมอารี ซึ่งการได้คนชนบทมาเลี้ยงลูกคนกรุง ถือเป็นการส่งเสริมนิสัยบางอย่างที่คนกรุงขาดหายไป แต่ปัจจุบันพบว่าการหาพี่เลี้ยงคนไทยมาเลี้ยงลูกทำได้ยากขึ้น อาจเป็นเพราะต้องเสียค่าจ้างหรือเงินเดือนสูง ทำให้พ่อ แม่ยุคใหม่หันไปจ้างแรงงานข้ามชาติมาเป็นพี่เลี้ยงลูกของตนเอง เพราะหาได้ง่ายกว่าและค่าแรงถูกกว่า แต่แรงงานข้ามชาติจากบางชาติกลับสร้างปัญหา บางรายก่อคดีทำร้ายนายจ้างหรือขโมยทรัพย์สินแล้วหลบหนีไป พ่อ แม่ยุคใหม่ จึงหันไปจ้างแรงงานชาวลาว ซึ่งมีอุปนิสัยนุ่มนวลคล้ายคนไทย แต่ต่อมาระยะหลังแรงงานชาวลาวก็ไม่ค่อยนิยมเข้ามาทำงานประเภทนี้เท่าใดนัก เพราะประเทศลาวเองมีความต้องการกำลังคนในการพัฒนาประเทศเช่นกัน ปัจจุบันคนไทยจึงนิยมจ้างชาวเวียดนามมาทำงานบ้าน และช่วยเลี้ยงลูก

พญ.ดวงพร กล่าวต่อว่า การจ้างแรงงานต่างด้าวไม่ว่าจากประเทศใดมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อสภาพสังคมไทยในอนาคตอันใกล้นี้ เพราะว่าเด็กแรกเกิดจนถึง 5 ขวบ สมองจะมีพัฒนาการ และจดจำสิ่งแรกแบบฝังลึกในจิตใต้สำนึก กล่าวคือ สมองเด็กและพัฒนาการต่าง ๆ ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา ลักษณะนิสัย จะเป็นแบบการสัมผัสและเรียนรู้จริงจากการกระทำซ้ำ หากได้พี่เลี้ยงเด็กเป็นแรงงานข้ามชาติและอยู่กับลูกเราทุกวัน พฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนชาติพี่เลี้ยงหรือลักษณะนิสัยของพี่เลี้ยง ก็จะถูกถ่ายทอดไปที่ลูกของเรา ซึ่งต้องยอมรับว่าอัตลักษณ์ของชนชาตินั้นมีความไม่เหมือนกันอยู่มาก ถือเป็นลักษณะเฉพาะของชนชาติ

“ดังนั้น หากครอบครัวไทยยุคใหม่ให้แรงงานต่างด้าวเลี้ยงลูกแทน อัตลักษณ์ความเป็นคนไทยในเด็กรุ่นใหม่ ทั้งเรื่องนิสัย พฤติกรรม ภาษา สำนึก ชุดความคิด ก็จะแปรสภาพไปตามพี่เลี้ยงที่เป็นแรงงานต่างด้าว ซึ่งอยากย้ำว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นสิ่งที่ต้องพึ่งระวัง และควรหาทางป้องกัน” พญ.ดวงพร กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ กล่าวว่า อยากฝากให้ทุกฝ่ายหรือ คสช.ตระหนักถึงปัญหาเรื่องนี้ และหากทำได้อยากเสนอว่า ควรสงวนอาชีพพี่เลี้ยงเด็กไว้ให้เฉพาะแรงงานคนไทย และควรหันมาส่งเสริมให้แรงงานชาวไทยกลับมาทำอาชีพนี้ ส่วนพ่อ แม่คนรุ่นใหม่ควรตะหนักถึงบุตรหลานของตนเอง และควรรับผิดชอบต่อลูกและสังคม และต้องยอมรับในค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้นจากการจ้างแรงงานไทยมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก รวมถึงปู่ ย่า ตา ยาย ต้องให้เวลาบุตรหลานให้มากขึ้น ไม่ควรอ้างว่าไม่มีเวลาหรือมีงานรัดตัว จนไม่มีเวลาเลี้ยงดูบุตรหลานของตนเอง และผลักให้เป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยงเท่านั้น การเลี้ยงดูลูกเป็นงานหนัก แต่คนในครอบครัวต้องช่วยกัน