Thai / English

T-BAN ออกแถลงการณ์จี้กระทรวงอุตฯ ยกเลิกนำเข้าแร่ใยหิน



03 .. 56
ประชาไท

เครือข่ายสังคมไทยไร้แร่ใยหินออกแถลงการณ์ยำจุดยืนเรียกร้องให้ ก.อุตสาหกรรมฯ ยกเลิกนำเข้าแร่ใยหิน ตามมติ ครม.12 เมษายน 2554 และมติ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3 เผยฮ่องกงแบนใยหินแล้ว ฝ่าฝืนปรับ 8 แสนบาท หรือ จำคุก 6 เดือน

2 ต.ค.56 สมบุญ สีคำดอกแค เครือข่ายรณรงค์ยกเลิกแร่ใยหินแห่งประเทศไทย (T-BAN) และสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย เผยแพร่แถลงการณ์ฉบับที่ 2 ถึงรัฐมนตรีกระทรวงอุตสากรรม กรมโรงงานและกรมควบคุมมลพิษ เรื่อง "การนำเรื่องแผนงดนำเข้าและเลิกผลิตภัณฑ์ใช้แร่ใยหินไครโซไทล เข้า คณะรัฐมนตรี(ครม.)" เรียกร้องให้ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ยึดมติ ครม.12 เมษายน 2554 และมติ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3

แถลงการณ์ระบุด้วยว่า เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา เครือข่าย T-Ban ได้ยื่นจดหมายต่อนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการศึกษาของกระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องการยกเลิกการนำเข้า ใช้ แร่ใยหิน โดยทางสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ได้ส่งหนังสือตอบที่ นร.0105.04/85612 ลงวันที่ 25 ก.ค.56 ว่าสำนักปลัดนายกรัฐมนตรีได้ประสานงานเพื่อส่งเรื่องให้กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบกรณีที่ท่านได้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่โดยขอให้ส่งผลให้ท่านทราบโดยตรง พร้อมทั้งได้บันทึกข้อมูลรายละเอียดของเอกสารที่เกี่ยวข้องไว้ในระบบสารสนเทศเรื่องราวร้องทุกข์ด้วยแล้ว แต่ยังไม่มีความคือบหน้า รวมทั้งทางเครือข่ายฯ ทราบว่า กระทรวงอุตสาหกรรม อาจไม่มีการยกเลิกการนำเข้า ใช้แร่ใยหินกับผลิตภัณฑ์กระเบื้อง ทางเครือข่ายฯ จึงอแกแถลงการณ์เพื่อยำจุดยืนที่จะให้กระทรวงฯ ยึดมติ ครม.12 เมษายน 2554 และมติ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 3

สำหรับ มติสมัชชาสุขภาพ ครั้งที่ 3 ในส่วนของมาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหินนั้น เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 ครม. ได้ให้ความเห็นชอบต่อมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาตินี้และยังเห็นชอบต่อแนวทางการห้ามนำเข้าแร่ใยหินไครโซไทล์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์เฉพาะกรณี และห้ามผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์ที่ใช้วัตถุดิบอื่นหรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นทดแทนได้ พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ

เผยฮ่องกงแบนใยหินแล้ว ฝ่าฝืนปรับ 8 แสนบาท หรือ จำคุก 6 เดือน

รศ.ดร.ภก.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ประเทศฮ่องกง ได้ประกาศใช้กฎหมายการควบคุมมลพิษทางอากาศ 2013 เพื่อดำเนินการยกเลิกการใช้แร่ใยหินแอสเบสตอสทุกชนิด ทั้งนี้ โฆษกกรมป้องกันสิ่งแวดล้อมแถลงว่า “กฎหมายที่ปรับปรุงนี้จะขยายขอบเขตการควบคุมการนำเข้าและการขายแร่ใยหิน จากเดิมที่เคยยกเลิก แร่ใยหินคลอซิโดไลท์ หรือ ใยหินสีฟ้าและ อโมไซท์ หรือ ใยหินสีน้ำตาล รวมทั้งกิจการที่เกี่ยวกับการผลิตวัสดุที่ใช้ใยหินเหล่านี้ เป็น การยกเลิกการนำเข้า การส่งต่อทางเรือ การขาย การใช้ แร่ใยหินทุกชนิด และ วัสดุที่มีแร่ใยหินทุกชนิด( ซึ่งก็หมายรวมถึงแร่ใยหินสีขาว หรือ ไครโซไทล์) การบังคับใช้ตามกฎหมายนี้ยังมีผลต่อข้อบังคับในการควบคุมโรงงานและการอุตสาหกรรมที่ต้องไม่ใช้ใยหินอีกต่อไป”

ในฮ่องกงมีการใช้แร่ใยหินอย่างแพร่หลายทั้งในวัสดุก่อสร้าง วัสดุทนไฟ ฉนวนกันความร้อนและการลดแรงเสียดทาน มาตั้งแต่ ปี 1975 เพราะมีความทนทานและยังทนความร้อนและสารเคมี อย่างไรก็ตามการที่ใยหินแอสเบสตอสเป็นสารก่อมะเร็งและการสูดอาณุภาคของใยหินจะทำให้เกิดโรคแอสเบสโตซิส โรคปอดและมะเร็งเยื่อหุ้มปอด ดังนั้นการยกเลิกการใช้ใยหินทั้งหมดทุกชนิดจึงเป็นการขจัดความเสี่ยงต่อสุขภาพและเป็นการป้องกันสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ กฎหมายยกเลิกการใช้ใยหินนี้ระบุโทษสูงสุดสำหรับการละเมิดไว้ถึง 8 แสนบาทและจำคุก 6เดือน

รศ .ดร. ภก .วิทยา กุลสมบูรณ์ กล่าวว่า “ถือได้ว่า ฮ่องกง เป็นอีกหนึ่งประเทศในเอเชีย ต่อจาก ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ บรูไน ไต้หวัน ที่ดำเนินการมาก่อนหน้า เช่นเดียวกับ ยุโรป ออสเตรเลีย ที่ยกเลิกมาก่อนหน้า ประเทศไทยเสียโอกาสลดความเสี่ยงจากใยหิน ทั้งที่มี มติ ครม. มาแล้ว แต่ยังหวังผลประโยชน์การค้าจากรัสเซีย มากกว่าชีวิต ผู้ใช้แรงงานและผู้บริโภคไทย แทนที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำเรื่องนี้ในอาเซียน”

นอจากนี้ สมบุญ ยังได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องขอขอทราบความคืบหน้าของการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข โดยขอให้เปิดเผย รายงานผลการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหิน โดยคณะกรรมการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหิน โดยเร็วที่สุด และแสดงความเป็นห่วงจากที่ได้รับทราบการที่นายกรัฐมนตรี จะได้ไปเยือนประเทศรัสเซีย และมีแนวโน้มที่จะมีการพูดคุยในเรื่องการให้มีการใช้ใยหินต่อไปในประเทศไทย จึงมีความกังวลต่อการที่ประเทศไทยได้นำประเด็นเรื่องการค้ากับประเทศรัสเซีย มาประกอบในการพิจารณาที่จะยกเลิกการใช้ใยหินไครโซไทล์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการนำเอาประโยชน์ที่จะได้รับทางการค้า มาใช้ตัดสินโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและสุขภาพของประชาชน

สมบุญ กล่าวว่า มีคำถามมากมายสำหรับประเทศไทยที่มีการถ่วงเวลาการยกเลิกใยหิน และมีความพยายามที่จะหาทางสร้างหลักฐานหักล้างว่าไม่อันตราย ล่าสุดทราบมาว่าจะกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการยกเลิกใยหินในสินค้าเพียงบางชนิด แต่ไม่ยอมยกเลิกในสินค้าที่มีการใช้ใยหินจำนวนมาก เช่น กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น ท่อน้ำซีเมนต์ เบรคและคลัทช์ เป็นต้น เชื่อว่าน่าจะเป็นแรงกดดันจากประเทศรัสเซีย ผ่านทางรัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็จะเดินทางไปรัสเซีย จึงมีการแปรรูปอันตรายของใยหินไครโซไทล์ให้น้อยลงหรือไม่มีเลย โดยมีการดำเนินการเป็นขบวนการผ่านทั้งทางกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสาธารณสุข อย่างไม่คำนึงถึงชีวิตและสุขภาพของประชาชน ถือเป็นอาชญากรรมเงียบที่น่าตกใจ หากรัฐบาลพลิก มติ ครม. เดิม ที่เคยให้มีการยกเลิกใยหิน ถือได้ว่าเป็นการทำลายเจตนารมย์ของฝ่ายต่างๆ ที่สนับสนุน ทั้งภาคประชาชน องค์กรผู้บริโภค สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา ที่เคยส่งเรื่องการยกเลิกใยหินให้ ครม. แบน ไปตั้งแต่ เดือน เมษายน ปี 2554

“ขอสื่อสารถึง นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า ท่านจะเลือกผลประโยชน์การค้ากับรัสเซีย หรือ ชีวิต คนไทย ทำไมมาตรฐานชีวิตคนไทย ผู้ใช้แรงงาน ผู้บริโภค ต่ำกว่า ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ บรูไน และ ประเทศที่เจริญแล้ว ทั้งยุโรป ออสเตรเลีย ที่ยกเลิกใยหิน หรือ ท่านคิดว่าคนไทยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าประเทศอื่นๆเขาตื่นตัวกันเรื่องนี้อย่างไร ทั้งที่ท่านใช้เงินงบประมาณเดินทางไปเจรจากับประเทศต่างๆมาทั่วโลก แต่กลับไม่เอาเรื่องอันตรายของใยหินที่ประเทศต่างๆยกเลิกแล้วมาพิจารณา ปล่อยให้กระทรวงอุตสาหกรรมหาทางถ่วงเวลายื้อเรื่องไปเรื่อย” สมบุญ กล่าว

- See more at: http://www.prachatai3.info/journal/2013/10/49038#sthash.M7CSkcb9.dpuf