โวยสปส.ไม่ยอมจ่ายเงินคืน อ้าง หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ไม่ฉุกเฉิน26 .. 56 ประชาไท ผู้ประกันตนโวยประกันสังคมไม่ยอมจ่ายเงินทดแทนค่ารักษา อ้าง ไม่ใช่โรคฉุกเฉิน รพ.ไม่ตรงสิทธิ ระบุ แพทย์ลงความเห็นแล้ว หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ถือว่าฉุกเฉิน ต้องรักษาทันที แต่สปส.บ่ายเบี่ยงไม่ยอมจ่าย ทั้งที่จ่ายสมทบทุกเดือน 25 ก.ย. 56 นายชญาน์ทัต วงศ์มณี ผู้ประกันตนระบบประกันสังคม กล่าวว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้วตนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนนทเวชอย่างกะทันหันเรื่องจากเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ซึ่งแพทย์ที่โรงพยาบาลนนทเวชลงความเห็นว่าต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แต่ทำเรื่องขอย้ายไปผ่าตัดและรักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไท 2 เนื่องจากเห็นว่าเป็นโรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการรักษา ประกอบกับโรคที่ตนเป็นอยู่ไม่สามารถรอเวลาได้ จึงต้องรักษาอย่างเร่งด่วน หลังจากนั้นตนได้ทำเรื่องขอเบิกเงินคืนจากสำนักงานประกันสังคม แต่ทางสำนักงานประกันสังคมกลับไม่ยอมจ่ายเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ให้โดยให้เหตุผลว่า ตนไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเลิดสิน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิประกันสังคมของตน และโรคที่เป็นอยู่ไม่ใช่โรคฉุกเฉินแต่อย่างใด แพทย์ที่รักษาผมระบุว่า หัวใจขาดเลือดเฉียบพลันนั้นถือเป็นโรคฉุกเฉิน ไม่สามารถประวิงเวลาโดยการบอกว่าต้องส่งไปที่โรงพยาบาลเลิดสินได้ มันไม่ได้แล้ว แต่สิ่งที่ประกันสังคมตอบกลับมาคือบอกว่ากรณีของเราไม่เข้าข่ายฉุกเฉิน แต่ในคำวินิจฉัยของหมอบอกว่านี่ฉุกเฉินมาก เพราะชีพจรตก ความดันตก หัวใจหยุดเต้นไปห้องหนึ่งแล้ว ต้องได้รับการรักษาทันที นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตาย นายชญาน์ทัต กล่าว นายชญาน์ทัต กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นจึงได้ดำเนินการยื่นเรื่องอุทธรณ์ ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 4 ได้ส่งหนังสือเลขที่ รง.0627/43376 แจ้งให้ทราบว่าคณะกรรมการอุทธรณ์มีมติยกอุทธรณ์ของตน ที่ทำเรื่องขอใช้สิทธิรับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์หลังเข้ารับการรักษาพยาบาลด้วยอาการเจ็บหน้าอกร้าวไปถึงข้างหลังเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2554 ซึ่งต่อมาแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โดยในหนังสือระบุว่า ไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ต้องได้รับเงินทดแทนค่าบริการทางการแพทย์ เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ผู้ป่วยใช้สิทธิประกันสังคมอยู่ และโรคที่ต้องรับการรักษาไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน นายชญาน์ทัต กล่าวว่า จากการต่อสู้มาเป็นเวลา 2 ปี และได้รับคำตอบว่าไม่ใช่กรณีฉุกเฉินเป็นเรื่องตลกมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรึกษากับครอบครัวว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าเป็นการไม่ยุติธรรม และถ้าหากมีอีกหลายคนที่ต้องมาเจอเหตุการณ์เดียวกับตนแล้วต้องรอคำตัดสินของประกันสังคมนานถึง 2 ปีแต่กลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้ ในขณะที่เราทำตามหน้าที่พลเมืองดีด้วยการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม แต่เงื่อนไขต่างๆ กลับไม่เอื้ออำนวยต่อชีวิตความเป็นอยู่ของเรา ตรงนี้ไม่เป็นธรรม |