ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เป็นความหวังของอนาคตลูก อีกลมหายใจหนึ่งของสาวโรงงานที่ค่าแรงต่ำ จะมีแรงส่งลูกเรียนสูงๆ แม้วันนี้จะเรียนโรงเรียนวัด
วันนี้ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ผู้ใช้แรงงานต่างตั้งความหวังว่า รัฐบาลใหม่ (พรรคเพื่อไทย) ที่ประกาศเป็นนโยบายว่าทำได้
ทันทีที่เป็นรัฐบาล ซึ่งขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว นโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท จะทำหรือไม่ เป็นคำถามของพี่น้องผู้ใช้แรงงาน แต่ขณะเดียวกันเสียงคัดค้านจากเหล่านายจ้างที่พลัดกันออกมาส่งสัญญาณไม่เห็นด้วย เพราะรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวกับค่าแรงที่สูง ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ บ้างว่าจะย้ายฐานการผลิต บ้างว่าจะปิดกิจการ หรือแม้กระทั่งอาจต้องลดต้นทุนการผลิต นั่นหมายถึงจะต้องมีการเลิกจ้างคนงาน
ชีวิตของแรงงานหญิงคนหนึ่งในคนงานย่านอุตสาหกรรมจังหวัดนครปฐมเกิดการหวาดวิตกเหมือนกันว่า เหตุการณ์ดังที่นายจ้างทั้งหลายที่ออกมาขู่จะถูกสร้างสถานการณ์ให้เป็นจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตามเธอยังคงมีความหวังอยู่ลึกๆว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยจะทำจริงอย่างที่ประกาศไว้ เพื่อการมีรายได้แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่เธอ และสามีต้องแบกรับภาระอยู่ทุกวัน ที่แทบจะชักหน้าไม่ถึงหลัง
นางศิริพร มุสวัตร อายุ 42 ปี เกิด ที่จังหวัดนครราชสีมา พ่อแม่มีอาชีพทำนา แต่งงานมีบุตรสาว 3 คน คนโตชื่อติ๊ก อายุ 18 ปี เรียนชั้นมัธยมปีที่ 6 คนที่ 2 ชื่อต่าย อายุ 14 ปี เรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 คนเล็กชื่อตังค์ อายุ 9 ปี เรียนชั้นประถมศึกษาปี
ที่ 2 โรงเรียนวัดอ้อมน้อยโสภณชนูปถัมภ์ ปัจจุบัน ศิริพร ทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง ในเขตย่านอ้อมใหญ่ จ.นครปฐม ทำหน้าที่แผนกรีด ใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงงาน มากว่า 10 ปี โดยได้รับค่าจ้างเพียงวันละ 220 บาท ซึ่งมากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันเพียง 5 บาทเท่านั้น เฉลี่ยแล้วเธอมีรายได้ต่อเดือนที่ 5,750 บาท ซึ่งถือว่าต่ำมากหากมองถึงภาระที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว ด้วยเหตุที่มีลูกหลายคนเธอจึงส่งลูกเรียนโรงเรียนวัด เพื่อจะได้ใช้สิทธิเรียนฟรีตามนโยบายของรัฐบาลชุดก่อนทำให้สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้บ้าง เพราะหากเรียนโรงเรียนเอกชนคงรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหวเป็นแน่ ถึงแม้สามีของเธอ ซึ่งเป็นพนักงานช่างเครื่องได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือนๆละ 9,500 บาท สองคนรวมกันแล้วเฉลี่ยเดือนละ 15,250 บาท กับค่าใช้จ่าย 5 ชีวิต ซึ่งยังไม่รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องส่งให้แม่ที่อยู่บ้านต่างจังหวัด
ศิริพร เล่าด้วยน้ำเสียงเนือยๆว่า ค่าใช้จ่ายทุกวันนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ลูกๆทั้ง 3 ยิ่งโตยิ่งใช้เงินเยอะ กับการดำรงชีวิตในครอบครัว โดยมีรายจ่ายที่ต้องจ่ายเป็นประจำ คือ ค่าเช่าห้องเดือน ละ 1,700 บาท ค่าน้ำดื่ม น้ำใช้ 400 บาท ค่าไฟ 400 บาท ต่อเดือน ค่าอาหารในแต่ละวัน 2 มื้อ เช้า- เย็น วันละ 250 บาท คิดเป็นเดือนละ 7,500 บาท ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าขนมลูกๆ ไปโรงเรียนวันละ 200 บาท คิดเป็นเดือนละ 6,000 บาท ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกประมาณเดือนละ 1,500 บาท ยังมีรายจ่ายสำหรับส่งให้แม่ที่อยู่ทางบ้าน แทบจะไม่มีส่งเสีย หากเดือนไหนมีความจำเป็นจริงๆ ต้องยืมเพื่อนๆ บ้าง กู้นอกระบบบ้าง แต่ไม่ท้อ เพราะมีลูกๆคอยให้กำลังใจบางวันทำอาหาร ทำขนมไปขายให้เพื่อนร่วมงาน และเก็บของเก่าขาย เพื่อหารายได้เสริม เพราะเพียงลำพังค่าจ้างขั้นต่ำที่เธอและสามีได้รับ คงไม่พอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว
ด้วยความอดทน เธอจึงต้องขยัน และเป็นแม่ที่ดีของลูกๆกับความตั้งใจ และจะพยายามส่งลูกๆเรียนให้จบ เพื่ออนาคตของลูกๆ เธอโชคดีที่มีสามีขยัน เป็นหัวหน้าครอบครัวดีเสมอมา เธอจะทำงานที่นี่จนกว่าลูกๆ จะเรียนหนังสือจบ
วันแม่นี้ ความคิดที่อยู่ในใจเวลานี้ อยากให้ลูกตั้งใจเรียนหนังสือเป็นคนดีของพ่อ แม่ ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อสังคม และส่วนรวมอยากบอกว่า แม่เสียสละที่สุดแล้วในชีวิต และในวันแม่และวันเกิดของตัว ทุกปี ลูกๆของเธอจะนำมาลัยดอกไม้ใส่พานเล็กๆคุกเข่ากราบแม่กัน 3 คนพี่น้องจะทำแบบนี้ โดยพี่สาวคนโตเป็นคนพาน้องๆ และพร้อมอวยพรให้แม่ มีสุขภาพแข็งแรง ลูกๆจะตั้งใจเรียนหนังสือเป็นคนดีของพ่อ แม่ ทำให้ความหวัง ความฝันของแม่เป็นจริงให้ได้ในอนาคตต่อไป