Thai / English

ธปท.เตือนรบ.กระตุ้นศก.รอบ2ดึงหนี้พุ่ง61% "มาร์ค"ฝันรถไฟเร็วสูง ทุ่ม4หมื่นล.รางคู่เชื่อม5ปท.



11 .. 52
เครือมติชน

"มาร์ค"ตีปี๊บไทยเข้มแข็ง ทุ่ม"4 หมื่นล้าน" ทำรางคู่ เชื่อม"จีน-ลาว-พม่า-เขมร-มาเลเชีย" ตั้งเป้า 3 ปี จ้างงานเพิ่ม 2 ล้านอัตรา ฝันไปไกลถึงรถไฟความเร็วสูง 200 กม./ชม. บอกอยากเห็นสายสุวรรณภูมิ-มักกะสัน ปีนี้ ธปท.เตือนรัฐบาลระวังใช้จ่าย กระตุ้นศก.รอบ2 เบิกจ่ายล่าช้า-ไม่โปร่งใส ดึงหนี้พุ่ง 61%

รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกรายงานเหมาะสมของนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระบุ เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 หรือ SP2 วงเงินรวม1.4 ล้านล้านบาท ในส่วนที่เป็นเม็ดเงินกู้ตามพรก.กู้เงินและพรบ.ให้อำนจาจกระทรวงการคลังกู้เงิน จะไม่สามารถเบิกจ่ายได้หมดภายในปี 2555 คาดจะมีการลงทุนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2557 โดยผลจากแผนฟื้นเศรษฐกิจระยะ 5 ปี (2553-2557) จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น เฉลี่ยปีละประมาณ 1.3% และก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 870,000 คน หากสามารถเบิกจ่ายเงินได้จริงตามวัตถุประสงค์อาจส่งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ทำให้หนี้สาธารณะทยอยลดลง จนมาอยู่ที่ 48.5% ต่อจีดีพี ในปี 2561 ทั้งนี้หากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว รัฐบาลควรลดบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลงเพื่อลดผลกระทบจาการการแย่งชิงทรัพยากรภาคเอกชน

"แต่หากผลของSP2 ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่คาดไว้ จากการเบิกจ่ายล่าช้า ความขัดแย้งทางการเมือง และความไม่โปร่งใสของการดำเนินงาน อาจทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ระดับศักยภาพ อาจลดต่ำลงกว่า 5.5% หากจีดีพีลดลง 1% จากกรณีฐาน จะกระทบต่อรายได้ที่รัฐบาลจัดเก็บลดตามไปด้วย ขณะที่โครงสร้างรายจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงสุดที่ 61% ต่อจีดีพีในปี 2559 พร้อมแนะรัฐบาลต้องทยอยลดการขาดดุลลง ด้วยการระมัดระวังการใช้จ่าย"

ธปท. ระบุด้วยว่า ผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปีงบประมาณ 2552 ผ่าน มาตรการภาษี และมาตรการใช้จ่าย ทั้งโครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท โครงการฝึกอบรม รวมถึงกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง ช่วยเพิ่มอำนาจซื้อ ลดต้นทุนการผลิต และสร้างงานในระบบ ขณะเดียวกันคาดว่าจะส่งผลให้จีดีพีปีนี้ เพิ่มขึ้นประมาณ 0.9% จากฐาน ทั้งนี้จะได้ผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสัดส่วนการพึ่งพิงการนำเข้าด้วย และจากการวิเคราะห์ผลต่อการจ้างงาน พบว่า ทั้ง2 มาตรการส่งผลให้เกิดการจ้างงานได้ประทมาณ 160,000 คน หรือเพิ่มขึ้น 0.4% แบ่งเป็นผลจากมาตรการใช้จ่าย จะสร้างงานได้ 1 แสนคน และมาตรการภาษี จะสร้างงานได้ 6 หมื่นคน

"มาตรการเพิ่มรายได้ และลดค่าใช้จ่าย ใน โครงการเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท โครงการ 5 มาตรการ 6 เดือนช่วยเหลือค่าครองชีพ เบี้ยผู้สูงอายุ มีผลต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าเม็ดเงินที่ใส่ลงไป เนื่องจากมีส่วนที่รั่วไหลไปสู่การออม และการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ขณะที่โครงการกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง (โครงการเอสเอ็มแอลเดิม) ช่วยสร้างรายได้ในชุมชนได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับมาตรการด้านภาษีนิติบุคคล ช่วยกระตุ้นการลงทุนของผู้ประกอบอาชีพอิสระ เอสเอ็มอี 970,000 ราย และวิสาหกิจชุมชน 58,000 ชุมชน "

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการบันทึกรายการระหว่างขึ้นรถไฟชั้น 3 ขบวนพิเศษ จากสถานีสามเสนถึงสถานีหัวลำโพงว่า จะมีการปรับปรุงการเดินรถไฟตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งในเรื่องสะดวกสบาย ความปลอดภัย โดยเพิ่มความเร็ว จาก 80 เป็น 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะสร้างรางคู่ เช่นฉะเชิงเทรา-แหลมฉบัง แลขึ้นไปที่แก่งคอย จ.สระบุรี ซึ่งจะทำให้รถไฟที่มาจากทางเหนือและอีสานสามารถลงไปถึงแหลมฉบังได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเรื่องของความเร็วเพิ่มขึ้นที่เรียกว่าระยะที่ 5 ระยะที่ 6 นั้นส่วนใหญ่จะไปทางอีสาน ทางบัวใหญ่ออกไป

นายอภิสิทธิ์ กล่าววว่า ส่วนการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะต้องดูในแง่ของความร่วมมือกับต่างประเทศ โดยเหนือจะออกไปทางอ.เชียงของ จ.เชียงรายไปถึงจีน อีสานจากหนองคายข้ามแม่น้ำโขงไปลาว แล้วเส้นทางจากมุกดาหาร ไปเชื่อมโยงกับ อีสต์ เวสต์ คอริดอร์ คือทางตะวันออก ตะวันตก และไปที่อุบลราชธานี ไปต่อกับกัมพูชาตรงอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ส่วนทางใต้ก็จะเชื่อโยงที่สุไหงโก-ลก และปาดังเบซาร์ ส่วนจุดตัดระหว่างรถไฟกับถนนที่มีปัญหาอยู่มาก โดยเฉพาะในกทม.ทำให้เกิดปัญหารถติด นั้นวันข้างหน้าจะต้องพยายามให้รถไฟวิ่งเข้ามากลางเมืองน้อยลง โดยทำให้โครงข่ายรถไฟ รถไฟฟ้าใต้ดินสมบูรณ์มากขึ้น โดยสถานีหลักๆ ก็จะเริ่มกระจายออกนอกเมืองไป

“ขณะนี้เราพยายามบริหารจัดการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวการทำราง การวิ่งรถ ส่วนการบริหารทรัพย์สินนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่ง โดยกำลังทำงานร่วมกับสหภาพฯ อยู่ว่าทำอย่างไรให้รูปแบบเขามั่นใจ เหมือนที่เราจะไปขายให้กับเอกชนอะไรแล้วมีความกังวล และเชิญมาคุยกันอยู่ในขณะนี้ แต่หลักจริง ๆ ก็คือถ้าเราแยกสามส่วนนี้ออกจากกัน บริหารจัดการในทุกส่วนมันน่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับชุมชนทางรถไฟ ซึ่งสมัยที่ตนเป็น ส.ส.ก็มีชุมชนทางรถไฟอยูในพื้นที่ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งต้องทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้โดยไม่เป็นปัญหาซึ่งกั้นและกัน แต่สำหรับจุดตัดนอกเหนือจากในเมืองแล้วชนชทก็มีจำนวนมากและมีอบุติเหตุเกิดขึ้นบ่อย ซึ่งถ้าเราจะทำทางข้าม ทางลอดก็คงจะยังยากอยู่ แต่ก็ควรมีไม้กั้นหรือการเตือน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจขณะนี้ไปกระทบกับการว่างงาน ซึ่งแผนปฏิบัติการณ์ไทยเข้มแข็ง ที่เราจะมีการปรับปรุงระบบรถไฟและอื่นๆ จะมีการจ้างงานจำนวนมาก โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะจ้างให้ได้ 1,500,000 - 2,000,000 อัตราในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยการปรับปรุงเรื่องการรับนำหนักของรถไฟนั้นเราได้ทำไปแล้วอยู่ในระยะที่ 3 และกำลังดำเนินการระยะที่ 4 ซึ่งไทยเข้มแข็งจะทำในระยะที่ 5 และ 6 ซึ่งจะสิ้นสุดตรงนี้ แล้วจะทำต่อเป็นระบบรางคู่ คือฉะเชิงเทรา-แหลมฉบังแล้วก็ขึ้นไปที่แก่งคอย ซึ่งรถไฟที่มาตรงนี้จะสามารถใช้ประโยชน์จากรางคู่ได้ โดยเฉพาะด้านการขนส่งสินค้า ซึ่งที่หนองคาย จะพยายามต่อจากท่านาแล้งออกไป ในจุดที่เรามีสะพานเช่นมุกดาหารและนครพนม หรือทางตะวันตกจะไปออกที่เมืองกาญจนบุรี ที่จะไปท่าเรือทางพม่า โดยในส่วนที่จะเชื่อต่อกับประเทศเพื่อนบ้านนั้นต้องใช้งบประมาณราวๆ 100,000 ล้านบาท แต่ส่วนที่จะทำรางคู่และปรับปรุงรางเดิมนั้นน่าจะประมาณ 40,000 ล้านบาทที่จะมาจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับรถไฟฟ้านั้น รถไฟฟ้าสายสีแดง นั้นจะเป็นของการรถไฟสาย บางซื่อ - ตลิ่งชัน กับ บางซื่อ - รังสิต โดยสาย บางซื่อ – ตลิ่งชันนั้นเดินไปแล้วเริ่มต้นก่อสร้างปี2552 ส่วนที่บางคนบอกว่าจะต้องต่อจากตลิ่งชันไปให้ถึงนครปฐมนั้นทางรังสิตก็มีเสียงเรียกร้องให้ไปถึงมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ซึ่งกำลังดูกันอยู่

หวังว่าวันข้างหน้าจะมีรถไฟความเร็วสูง โดยที่ 1 ชั่วโมงดินทางได้ 100-200 กิโลเมตร ซึ่งกำลังดูเส้นทาง กรุงเทพฯ - ปากช่อง กรุงเทพฯ - พัทยา - แหลมฉบัง กรุงเทพฯ – หัวหิน อยู่ว่าทำได้หรือไม่ แต่ก็ต้องคำณวนค่าโดยสารด้วย หากทำไปแล้วค่าโดยสารแพงมากก็ไม่มีคนขึ้นเพราะไม่คุ้มค่า

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการขาดทุนสะสมของการรถไฟนั้น แบ่งได้เป็น 3 ส่วนคือ

1. ประสิทธิภาพและปัญหาการบริหารจัดการ

2. บริการบางอย่าง อย่างเช่นรถไฟฟรี หรือการบริการสังคมที่ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย

3. รถไฟนั้นจะต้องรับภาระสร้างถนน ดูแลถนนและปรับปรุงถนน

เราจึงพยายามทำ

1. ปรังปรุงการบริหาร หากเรื่องไหนกระทบกับความเป็นธรรมก็เจรจากับสหภาพฯ

2. ระบบให้บริหารสังคมต้องโปร่งใสมากขึ้น และ

3. ประเมินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะค่าโดยสารที่จะทำอย่างไรให้ได้ค่าโดยสารไม่สูง แล้วคนหันไปเลือกทางเลือกอื่นๆ อย่างเช่นเครื่องบินต้นทุนต่ำ

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากมีปัญหาก็ต้องเชิญสหภาพฯ มาพูดคุย เบื้องต้นรัฐบาลจะแบ่งงานออกเป็น 3 อย่างคืองานระบบราง งานวิ่งรถและงานพัฒนาทรัพย์สิน โดยที่เราก็บอกว่าอยากให้แยกบริษัทออกมา ได้ทำให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลกำลังจะแอบ ไปขายไปอะไรต่าง ๆ แต่ยืนยันได้เลยว่าไม่ได้อยู่ในแผน เพียงแต่ต้องการที่จะแยกระบบการจัดการออกมา ล่าสุดที่คุยกันก็ยังเดินหน้าตั้งบริษัทไม่ได้ จึงอยากถือโอกาสนี้ฝากไปยังพนักงานและสหภาพฯ ว่าถ้ารัฐบาลจะทำอะไรจะให้ความเป็นธรรมและเอาใจใส่กับความห่วงใยของทุกฝ่ายอยู่แล้ว และทุกเรื่องตนก็พร้อมจะรับฟัง แต่อยากขอความกรุณาว่าอย่าให้กระทบการบริการประชาชนเหมือนกับที่เคยบอกว่าใครมีปัญหาอะไรก็ไม่ต้องปิดถนน แค่มายื่นหนังสือแล้วส่งตัวแทนมาพูดคุยกันก็ได้ ซึ่งตนอยากเห็นรถไฟวิ่งจากสุวรรณภูมิ-มักกะสัน ภายในปีนี้ จะหน้าเป็นตาของคนไทยทั้งประเทศ