Thai / English

บอร์ดสปส.ชี้ขาดยกเลิกซื้อข้าวสารแจกผู้ประกันตนวันนี้



27 .. 52
คมชัดลึก

ปั้น เผย บอร์ด สปส.ยกเลิกโครงการพันล้านซื้อข้าวสารแจกลูกจ้าง 9 ล้านคนวันนี้ “ เลขา สปส. ” ย้ำลดเงินสมทบ 2.5% กองทุนไม่เสียหาย ขอเวลาคำนวณเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรตามที่ลูกจ้างขอ แย้ม เสนอ “ ไพฑูรย์ ” ได้ กลาง ก.พ.นี้ ขณะที่ ปลัดแรงงาน มั่นใจโอนเงินให้ลูกจ้าง 2 พันบาทไร้ปัญหา

เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่สำนักงานประกันสังคม( สปส.) นายปั้น วรรณวินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประกันสังคม(บอร์ด สปส.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ ( 27 ม.ค.) ที่ประชุมบอร์ด สปส.จะมีการประชุมเพื่อพิจารณายกเลิกนำเงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 1 พันล้านบาทซื้อข้าวสารแจกผู้ประกันตนจำนวน 9 .3 ล้านคนคนละ 1 ถุงหรือ 5 กิโลกรัม ในโครงการบรรเทาความเดือนร้อนในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ บอร์ด สปส.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมาหลังจากที่เสนอไปให้นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน พิจารณาแต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการเห็นชอบและนายไพฑูรย์ สั่งกลับมาให้บอร์ด สปส.พิจารณายกเลิก ทั้งนี้ถือว่าไม่เสียหาย ไม่ได้กดดันอะไรเนื่องจาก บอร์ด สปส.ทำงานในลักษณะพิจารณาเสนอแนะโครงการต่างๆแต่การเห็นชอบดำเนินการหรือไม่นั้นอยู่ที่การตัดสินใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

นายปั้น กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องการลดเงินสมทบให้กับนายจ้างและลูกจ้างฝ่ายละ 2.5% บอร์ด สปส.มีมติชัดเจนและนายไพฑูรย์ ได้เห็นชอบแล้ว เหลือเพียงการเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งยืนยันว่าการลดเงินสมทบครั้งนี้กองทุนประกันสังคมไม่เสียหายแต่อย่างไร สิทธิประโยชน์ของลูกจ้างผู้ประกันทั้งกรณีเจ็บป่วย ตาย ทุพพลภาพ คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพ ยังคงที่

ส่วนกรณีว่างงานนั้นจะมีการขยายเพิ่มจาก 6 เดือนเป็น 8 เดือน ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการเงินกรณีชราภาพในอนาคตนั้นขอชี้แจงว่าเงินกรณีชราภาพนั้นพิจารณาเป็น 2 กรณี คือเงินบำเหน็จและบำนาญ ซึ่งอาจจะกระทบบ้างต่อกรณีเงินบำเหน็จที่ลูกจ้างจะได้รับกรณีออกจากงานก่อนส่งเงินสมทบครบ 15 ปี แต่กรณีเงินบำนาญชราภาพนั้นจะไม่ส่งผลกระทบเลย

“ ตรงนี้หลายคนไม่เข้าใจ เลยอาจจะมีท่าทีโต้แย้งบ้าง แต่อยากบอกให้เข้าใจว่าเราไม่ได้เสียหายอะไรแต่ถ้าเราไม่ทำสิจะมีคนตกงาน 1 ล้านคน กองทุนจะต้องจ่ายเงินกรณีว่างงานสูงถึง 30,000 ล้านบาท เงินสมทบหายไป 11,000 ล้านบาท แต่หากเราทำอย่างนี้นายจ้างก็จะอยู่รอด คนงานก็จะไม่ถูกเลิกจ้าง แม้เงินกองทุนจะหายไปประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่หากไม่มีการเลิกจ้าง สปส.ไม่ต้องจ่ายเงินกรณีว่างงาน 30,000 ล้านบาท ได้เงินสมทบเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้นกองทุนก็จะไม่เสียหายแถมยังรักษาเงินในระบบไว้ได้จำนวนมาก ดังนั้นใครจะคัดค้าน หรือ อาจจะมาประท้วงก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นความคิดของแต่ละบุคคล แต่ขอให้เข้าใจและใช้เหตุผล ผมไม่ได้หนักใจ ผมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ สปส.ทำไปนั้นไม่ผิด ดีแล้วจะถือโอกาสที่คนมาประท้วงทำความเข้าใจด้วย ” นายปั้น กล่าว

นายปั้น ยังกล่าวถึงกรณีสภาองค์กรพัฒนาลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้กระทรวงแรงงานเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีสงเคราะห์บุตรจากเดิมให้บุตรตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี ไม่เกิน 2 คน คนละ 350 บาท เป็นให้ตั้งแต่แรกเกิดถึง 12 ปี คนละ 500 บาท ว่า เพิ่งได้รับรายละเอียดจากนายไพฑูรย์ ที่สั่งการให้ สปส.พิจารณา ซึ่งเรื่องนี้ต้องมีการพิจารณาคำนวณระหว่างอัตราเงินสมทบกับอัตราการจ่ายเงินทดแทนว่าจะสมดุลกันหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดภาระผูกพันของกองทุนในอนาคตซึ่งหากรีบเร่งกองทุนจะเสียหายได้ คิดว่าการพิจารณาแล้วเสร็จและเสนอให้นายไพฑูรย์ ได้ประมาณกลางเดือน ก.พ.นี้

ขณะที่นายสมชาย ชุ่มรัตน์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือค่าครองชีพจำนวน 2,000 บาทแก่ผู้ประกันตนที่มีฐานเงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท ว่า ไม่มีปัญหาสำหรับวิธีการในการรับเงิน เพราะ สปส.มีข้อมูลเลขบัญชีธนาคารของผู้ประกันตนอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่มีเลขบัญชีธนาคารขอให้แจ้งแหล่งภูมิลำเนาที่อาศัยอยู่และธนาคารสาขาที่มีความประสงค์จะใช้บริการกับนายจ้างหรือแจ้งวิธีการรับเงินผ่าน สปส. เพื่อที่กรมบัญชีกลางจะได้โอนเงินผ่านชื่อของผู้ประกันตนในธนาคารสาขาใกล้ภูมิลำเนา โดยจะต้องมีหลักฐานแสดงสิทธิ์ อาทิ บัตรประกันสังคม และบัตรประชาชน มั่นใจว่าจำนวนเงินดังกล่าวจะถึงมีผู้ประกันตนอย่างแน่นอน

นายสมชาย กล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงานได้มีการอบรมข้อมูลสถิติภาครัฐให้กับข้าราชการและพนักงานของกระทรวง เนื่องจากได้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ (ก.พ.ร.) ในการสร้างข้อมูลร่วมกัน เพื่อป้องกันการวางแผนงานที่ผิดพลาด และเป็นการสร้างความมั่นใจในสถิติตัวเลขที่ชัดเจนตรงกัน