Thai / English

ตีแผ่ต้นตอ ‘โศกนาฏกรรม 54 แรงงานข้ามชาติ’ : ห่วงแต่มั่นคง เปิดช่องค้ามนุษย์



13 .. 51
ประชาไท

เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ (Action Network for Migrants: ANM) และเครือข่ายผู้ย้ายถิ่นลุ่มน้ำโขง (Mekong Migration Network: MMN) ทำแถลงการณ์ถึงสื่อมวลชน เรื่อง ใครกันแน่ที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมการเสียชีวิตของแรงงานพม่า ๕๔ ราย ลงวันที่ 11 เม.ย. 51

แถลงการณ์ระบุถึงโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา แรงงานข้ามชาติสัญชาติพม่าเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจระหว่างการเดินทางโดยอาศัยรถบรรทุกขนาดใหญ่ชนิดห้องเย็น ไปทำงานยังจังหวัดภูเก็ตทั้งหมด 54 ราย เป็นหญิง 37 ราย ชาย 17 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีเด็กรวมอยู่ด้วย

เนื้อความในแถลงการณ์ระบุว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้ถูกนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสื่อต่างประเทศและในประเทศ อาทิ South China Morning Post ซึ่งพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งประจำฉบับวันที่ 11 เม.ย. 51 เนื้อหาข่าวนำเสนอว่าในแต่ละปีประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติกว่าล้านคนอพยพจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สหภาพพม่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และราชอาณาจักรกัมพูชา แรงงานกลุ่มดังกล่าวมีคุณูปการต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะได้เข้ามาทดแทนในงานที่แรงงานไทยปฏิเสธที่จะไม่ทำ เพราะค่าจ้างต่ำและภาวการณ์ทำงานที่ย่ำแย่ รวมถึงกฎหมายแรงงานไม่คุ้มครอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นโศกนาฏกรรมยิ่งกว่าคือ ประเด็นเกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติกลับถูกนำเสนอผ่านมุมมองของความมั่นคง โดยละเลยที่จะกล่าวถึงคุณูปการของแรงงานข้ามชาติที่มีต่อประเทศ และสาเหตุที่แท้จริงการของเสียชีวิตของแรงงาน

ตามที่สำนักข่าว South China Morning Post ได้นำเสนอต่อไปว่าโศกนาฏกรรมดังกล่าวถูกเบี่ยงเบนเป็นประเด็นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งนำไปสู่การพุ่งเป้าไปยังนายหน้าและกระบวนการค้ามนุษย์ รวมถึงการหลบหนี้ชะตากรรมที่โหดร้ายภายในพม่ามายังประเทศไทย อย่างไรก็ตามแรงงาน ผู้พลัดถิ่น โดยเฉพาะจากพม่า จำเป็นต้องอพยพมายังประเทศไทยเพื่อการอยู่รอด เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศและการที่รัฐบาลเผด็จการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ในปัจจุบันถึงแม้ประเทศไทยจะพยายามจัดให้มีช่องทางการย้ายถิ่นที่ถูกกฎหมาย กลับเป็นเรื่องที่มิอาจปฏิบัติได้จริง การลงนามในข้อตกลงระหว่างไทยและพม่าในการส่งแรงงานจากพม่าเพื่อทำงานในประเทศไทยอย่างถูกกฎหมาย ไม่มีประสิทธิภาพในทางปฏิบัติ เพราะรัฐบาลทหารพม่าบ่ายเบี่ยงในการพิสูจน์สัญชาติประชาชนของตน ซึ่งความพยายามของประเทศไทยในการปฏิบัติตามขั้นตอนบันทึกข้อตกลงจะไม่ประสบความสำเร็จ หากประเทศคู่สัญญาอย่างพม่าไม่เปลี่ยนแปลงการด้านปกครองและสิทธิมนุษยชน

เช่นเดียวกับการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วม ที่ไทยลงนามกับลาวและกัมพูชา ซึ่งแรงงานที่ดำเนินการผ่านกระบวนการดังกล่าวต้องพบกับความล่าช้าของระบบราชการและปัญหาที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในทุกขั้นตอน

ในขณะที่ช่องทางการเปิดให้ผู้พลัดถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยสามารถจดทะเบียนแรงงานในประเทศไทยได้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นนโยบายที่ก้าวหน้า แต่กลับขาดความยืดหยุ่น เนื่องจากแรงงานไม่สามารถเดินทางข้ามพื้นที่จดทะเบียนได้ หรือการเปลี่ยนนายจ้างที่มีขั้นตอนยุ่งยาก การจำกัดอิสรภาพในการเคลื่อนย้าย ไม่มีการออกเอกสารให้แรงงานเดินทางได้ชั่วคราวในเวลาที่จำเป็น รวมถึงประกาศจังหวัดที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก ข้อจำกัดดังกล่าวนั้นมีผลต่ออิสระในการเดินทางและโยกย้ายถิ่น ซึ่งกลายเป็นช่องทางให้มีผู้แสวงหาผลประโยชน์จากการช่วยเหลือแรงงานให้สามารถเดินทาง ยิ่งทำให้แรงงานต้องพึ่งพาช่องทางนอกระบบมากขึ้น

เครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ (ประเทศไทย) และ เครือข่ายผู้ย้ายถิ่นลุ่มน้ำโขง เสนอให้รัฐบาลไทยแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีดังกล่าว บนฐานของการแก้ปัญหาจากสาเหตุที่แท้จริงคำนึงถึง สิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนของคนทุกคน มิใช่มุ่งพิจารณาแต่ประเด็นเรื่องความมั่นคงของรัฐที่ดูดีในการประกาศแต่ไม่สามารถสร้างความมั่นคงให้ใครได้เลย ในงานศึกษาของเครือข่ายผู้ย้ายถิ่นลุ่มน้ำโขงได้พบว่าข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับส่งเสริมขบวนการค้ามนุษย์และการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย นำไปสู่ชะตากรรมที่โหดร้ายดังปรากฏตามภาพข่าวในกรณีที่แรงงานข้ามชาติต้องเสียชีวิตที่จังหวัดระนองระหว่างการเดินทางไปจังหวัดภูเก็ต

กรณีดังกล่าว เป็นบทเรียนที่รัฐไทยควรตระหนักที่จะรับฟังข้อเสนออันนำไปสู่การกำหนดมาตรการปกป้องสิทธิแรงงานอย่างเหมาะสม รวมถึงการตระหนักในสิทธิการเคลื่อนย้ายของแรงงาน การเข้าถึงการจดทะเบียนแรงงาน ซึ่งจะทำให้แรงงานมีศักยภาพในการกำหนดชะตาชีวิตตนเองมากขึ้น

โดยเครือข่ายปฏิบัติการแรงงานข้ามชาติ และ เครือข่ายผู้ย้ายถิ่นลุ่มน้ำโขง มีข้อเสนอว่า แรงงานข้ามชาติรวมถึงครอบครัวผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรม จ.ภูเก็ต ควรได้รับการรักษาพยาบาลทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างเหมาะสม และได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย เช่นตามพ.ร.บ.ค่าชดเชยความเสียหายจากคดีอาญา

และรัฐบาลควรปรับปรุงระบบการจดทะเบียนแรงงานที่เปิดให้มีการจดทะเบียนตลอดปี รวมถึงอำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่จดทะเบียนโดยเฉพาะพื้นที่แถบชายแดน นอกจากนั้นแรงงานควรได้รับใบอนุญาตทำงานทันทีที่จดทะเบียน และควรมีการออกเอกสารการเดินทางชั่วคราวที่แรงงานสามารถเดินทางเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งนายหน้าหรือผู้นำพา ควรมีกลไกในการคุ้มครองแรงงานและการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

นอกจากนี้ รัฐบาลควรหยุดการทำให้แรงงานเป็นเสมือนหนึ่งอาชญากร และยุติการอ้างถึงความมั่นคงของชาติและละเลยการแก้ปัญหาที่แท้จริงของการย้ายถิ่น รวมถึงรับฟังและร่วมทำงานกับแรงานข้ามชาติและประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางที่ปฏิบัติได้จริงในการปกป้องคุ้มครองสิทธิแรงงานทุกคนในราชอาณาจักรไทย