Thai / English

จากการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2555 พบว่าในปัจจุบันมีแรงงานที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทย 2,700,000 - 3,500,000 คน เป็นผู้ที่พำนักอาศัยและทำงานประมาณ 3,140,000 คน ขณะที่แรงงานที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกกฎหมาย ณ เดือนกันยายน 2555 มี 1,160,000 คน ในส่วนของแรงงานที่ไม่ได้รับอนุญาตคาดว่ามีประมาณ 2,000,000 คน หรือ 65%

การให้ความสำคัญแก่แรงงานข้ามชาติโดยผู้ประกอบการณ์ เริ่มมีภาพชัดเจนมากขึ้น ตั้งแต่มหาอุทกภัยครั้งใหญ่ช่วงปลายปี 2554, การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 40% ทั่วประเทศ เมื่อปี 2554 และ การประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2556 ที่จะถึงนี้ ทำให้หลายฝ่ายจับจ้องมาที่ความสำคัญของแรงงานข้ามชาติในภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น
ปรากฏการณ์ความสำคัญของแรงงานข้ามชาติในภาคอุตสาหกรรมถูกตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อล่าสุด (เดือนพฤศจิกายน 2555) คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประกาศที่จะ ทบทวนมาตรการผ่อนผันที่อนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวเป็นการชั่วคราว ซึ่งจะหมดอายุลงในปลายเดือนธันวาคม 2555 นี้ เนื่องจากการร้องขอของผู้ประกอบการ
ในรายงานชิ้นนี้ขอนำเสนอการจ้างงานแรงงานข้ามชาติใน อ.แม่สอด จ.ตาก ด่านหน้าด่านแรกๆ ของแรงงานพม่ากับการเข้ามาทงานในภาคอุตสาหกรรมของไทย
แรงงานข้ามชาติในภาคอุตสาหกรรมที่ อ.แม่สอด
ในปี 2550 หลังการรัฐประหาร 2549 ได้หนึ่งปี ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องแรงงานต่างด้าวที่ อ.แม่สอด จ.ตาก พบว่าสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานข้ามชาติใน  อ.แม่สอด นั้นจัดอยู่ในสภาพที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยความ “เข้มงวด” ที่อาศัยกรอบของเรื่อง “ความมั่นคง” ในการควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงาน ในขณะที่ประเทศยังไม่เป็นประชาธิปไตยในขณะนั้น ส่งผลกระทบต่อเรื่องการจ้างงาน สภาพความเป็นอยู่ และสิทธิของแรงงานเป็นอย่างมาก

เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับแม่สอด เมื่อปี 2550
ม่สอดเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดตากที่อยู่ติดกับชายแดนประเทศพม่า ซึ่งนอกจากจะมีประชากรกลุ่มพม่าและกะเหรี่ยงแล้ว มีกลุ่มชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แม่สอดตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมียวดีซึ่งเป็นอำเภอชายแดนที่สำคัญอันดับรองของพม่า ระหว่างแม่สอดและเมียวดีมีแม่น้ำเมยคั่นกลาง
สำหรับสิ่งที่ผมไปเห็น, แม่สอดไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว แต่ที่สามารถเป็นที่ต้องตาต้องใจนายทุนจากส่วนต่างๆ ของประเทศได้ ก็เพราะแม่สอดนั้นเป็น "เขตส่งเสริมการลงทุนพิเศษ" โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ให้ผลประโยชน์ทางภาษีเป็นกรณีพิเศษแก่นักลงทุนเพื่อส่งเสริมการลงทุน ทำให้มีโรงงานกว่า 300 โรงงานในเขตอำเภอแม่สอด---ซึ่งเหตุผลจริงๆ ที่สามารถทำได้ก็เพราะ "ค่าแรงที่แม่สอดนี่มันถูกมาก" (อย่างน่าใจหาย!)
ผมเองไม่ได้เข้าไปยังศูนย์ผู้อพยพ หรือที่แม่ตาวคลินิก ซึ่งเป็น 2 สถานที่ที่ถ้าใครก็ตามทำงานภาคประชาชนเมื่อไปถึงแม่สอดจะต้องไปเยี่ยมเยียน, สำหรับผมและคณะ เราตระเวนอยู่ในตัวเมืองและปริมณฑลขอบเขตใกล้กับย่านโรงงาน เพื่อเก็บข้อมูลของแรงงานข้ามชาติในตัวเมืองแม่สอด
จากคำบอกเล่าของพี่แรงงานข้ามชาติ ที่ผมได้มีโอกาสพูดคุย แกบอกว่าที่แม่สอดมีโรงงานมากกว่า 300 แห่งเข้ามาตั้ง ในแต่ละโรงงานก็จะมีแรงงานตั้งแต่ 100 กว่าคน จนถึงหลักพัน และส่วนใหญ่สภาพความเป็นอยู่ของแรงงาน "ไม่ดีเอาเสียเลย" และแกก็ตบท้ายด้วยประโยคที่ว่า "แต่ ... มันก็เลือกไม่ได้หนิ"
นายจ้างในโรงงานหลายแห่ง ได้จัดทำบัตรอนุญาตทำงานให้แรงงานข้ามชาติ (ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกโรงงาน และไม่ใช่แรงงานทุกคนที่จะมีบัตร) และจะหักค่าใช้จ่ายการทำบัตรจากเงินค่าจ้างของแรงงาน แม้ว่าแรงงานจะได้รับสิทธิในการถือครองบัตรอนุญาตทำงาน แต่ในนายจ้างส่วนใหญ่ จะเก็บบัตรตัวจริงไว้ และให้สำเนาไว้แก่แรงงานเพื่อเป็นสิ่งของประกัน ไม่ให้แรงงานเหล่านี้หนีไปทำงานที่อื่น 
บางแห่ง นายจ้างจัดที่พักอาศัยให้ สำหรับพี่คนที่ให้ข้อมูลแก่ผม แกบอกว่าถ้าใครที่มีบัตร นายจ้างก็จะเก็บค่าที่พัก 100 บาทต่อเดือน แต่ถ้าใครไม่มีบัตร แกก็จะเก็บ 150 บาท
บางครั้ง (ซึ่งก็เป็นโดยส่วนมาก) หากช่วงไหนที่ไม่มีงานเข้ามา โรงงานก็จะปิดงานและปล่อยแรงงานไปตามยถากรรม ไม่มีสวัสดิการใดๆ รองรับทั้งสิ้น
พี่แรงงานยังเล่าให้ผมฟังถึงสถานการณ์การต่อสู้ในโรงงานของพวกเขาในโรงงานแห่งหนึ่ง ล่าสุดพวกเขาได้เรียกร้องให้นายจ้าง ขึ้นค่าแรงอีก 10 บาท (ใช่! แค่ 10 บาท) แต่นายจ้างกลับไล่คนงานส่วนหนึ่งที่เรียกร้องออกไปอย่างไม่ใยดี
นอกจากปัญหาค่าจ้างที่ต่ำแล้ว พวกเขายังได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ  การข่มขืนกระทำชำเรา การทารุณร่างกาย การแสดงความไม่รับผิดชอบเมื่อแรงงานได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน --- นายจ้างพวกนี้มีไม้เด็ด คือ การข่มขู่โดยใช้สถานภาพทางสัญชาติเป็นเครื่องต่อรอง นั่นเอง!
ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับแม่สอด (เมื่อปี 2550)
120 บาท ... คือจำนวนเงินที่คุณสามารถไปใช้บริการหมอนวดแผนโบราณในแม่สอด 1 ชม.
1,000 บาท ... คือจำนวนเงินที่คุณสามารถนำหมอนวดแผนปัจจุบันออกมาจากสถานบริการได้ทั้งคืน
0 บาท ... คือค่าแรงต่อวันที่นักร้องสาวในร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งได้รับ (ไม่มีเงินเดือน อยู่ได้ด้วยทิปจากแขก)
มาม่า 1 ซอง ... คือ ค่าแรงโอทีที่แรงงานข้ามชาติได้รับ จากการทำงานล่วงเวลา 6 ชม.
10 บาท ... คือ ราคาอาหารขั้นต่ำในแม่สอด (ขนมจีน 1 จาน)
40 - 60 บาท ... คือ ค่าแรงโดยเฉลี่ยที่แรงงานข้ามชาติในแม่สอดได้รับต่อวัน
10,000 - 20,000 บาท ... คือ เงินเดือนโดยเฉลี่ยของแรงงานคอปกขาวชาวไทย (ผู้จัดการ , ผู้ประสานงาน )
2,000 กว่าคน ... คือ จำนวนแรงงานข้ามชาติที่ข้ามเข้ามาต่อ 1 วัน และถูกผลักดันออกไปต่อ 1 วัน

ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน 2555 ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปสำรวจชีวิตและสภาพการจ้างงานของแรงงานข้ามชาติที่ อ.แม่สอด ปัญหาเรื่องความ “เข้มงวด” ตามกรอบของเรื่อง “ความมั่นคง” นั้นหายลงไปอย่างมาก ตามสภาวะที่ประเทศกลับมาเป็นประชาธิปไตย รวมถึงสภาพความเป็นอยู่ที่พัฒนาไปตามเรื่องของเศรษฐกิจ (ถึงแม้จะไม่ดีมากนัก แต่มีแนวโน้มดีกว่าเดิม) และพบว่าความกังวลใจของผู้ประกอบการในการใช้แรงงานข้ามชาติใน อ.แม่สอด กลายเป็นเรื่อง “การขาดแคลนแรงงาน” มากกว่าเรื่อง “ภัยความมั่นคง” ไปเสียแล้ว
โดยก่อนหน้านั้น ในเดือนกรกฎาคม 2555 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก เปิดเผยว่าสถานการณ์ในแถบพื้นที่ อ.แม่สอด ภายหลังจากการเริ่มนโยบายการขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท 7 จังหวัดและ 40% ทั่วประเทศ และนโยบายการใช้แรงงานข้ามชาติอย่างถูกกฎหมาย ให้มีการถือครองหนังสือเดินทางชั่วคราวนั้น ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติที่ทำงานใน อ.แม่สอด ได้เคลื่อนย้ายไปทำงานในพื้นที่ที่มีการจ่ายค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทเป็นจำนวนมากเพราะมีค่าจ้างแรงงานที่แพงกว่า และสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามความสมัครใจ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว สถานประกอบการใน อ.แม่สอด ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมประเภทโรงงานการ์เมนท์และสิ่งทอ โรงงานอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปั้นดินเผา เซรามิค ตลอดจนโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร ขณะนี้กำลังประสบกับปัญหาแรงงานขาดแคลน แรงงานข้ามชาติจึงเคลื่อนย้ายไปทำงานในจังหวัดชั้นในแล้วกว่า 20 % คาดการณ์ได้ว่าหายไปจากระบบประมาณ 20,000 คน จาก 50,000 คน เนื่องจากปัจจุบัน อ.แม่สอด มีการปรับค่าแรงขั้นต่ำมาที่ 226 บาท (ในปี พ.ศ. 2555) และจะมีการปรับค่าแรงขึ้น 300 บาทในปี 2556 ตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน
ทั้งนี้การค้าชายแดน อ.แม่สอด ในปัจจุบันมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากความต้องการของตลาดผู้บริโภคในเพื่อนบ้านและตลาดในประเทศมีเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ออเดอร์ในการผลิตสินค้าต่างๆมีเพิ่มมากขึ้นตาม ในขณะที่ปัจจุบันแรงงานซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจมีน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดจึงไม่สมดุลต่อดีมานด์และซัพพลายในขณะนี้ ผู้ประกอบการจึงไม่สามารถรับออเดอร์สินค้าต่างๆได้ และกำลังการผลิตโดยรวมต้องถูกลดลงไปกว่า 30% ส่งผลให้ธุรกิจขนาดย่อมและขนาดกลางทยอยปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปอย่างมาก ซึ่งคาดว่าจะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าในปี 2555 มูลค่าการผลิตใน อ.แม่สอดจะสูญหายไปไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท หากยังเกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน
ซึ่งสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ถึงกับสนับสนุนภาครัฐในการวางกฎระเบียบการจ้างงานตามแนวชายแดน และจังหวัดชั้นในให้มีความแตกต่างกัน เพื่อป้องกันการเกิดช่องว่างของแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในไทยให้ลดน้อยลง ด้วยเช่นกัน
แต่ทั้งนี้เมื่อพิจารณาในรายละเอียดเรื่องสภาพการจ้างงานกลับพบว่าการให้ความสำคัญกับพลังการผลิตของแรงงานข้ามชาติของนายทุน นายทุนเองก็มักจะใช้รูปแบบการจ้างงาน “กึ่งบังคับ-กึ่งตัวประกัน” การกุมอำนาจต่อรองเกือบทั้งหมดไว้ในมือของนายจ้าง (ซึ่งจะขอกล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อ การจ้างงาน “กึ่งบังคับ-กึ่งตัวประกัน”)
รวมถึงพบการจ้างงานแบบรายชิ้นที่มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในส่วนต่างๆ ของประเทศ ที่มีความพยายามขจัด “แรงงานประจำ” ออกไปจากระบบ สร้างความยืดหยุ่นในด้านการจ้างงาน นายจ้างสามารถปรับลดต้นทุนให้ต่ำลง ได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น

ชีวิตคนงาน
ปู ปู แรงงานชายอายุ 31 ปี จากรัฐมอญ ลูกชายพลขับหน่วยงานราชการแห่งหนึ่งพม่า เขาเดินทางเข้ามาทำงานยัง อ.แม่สอด ตั้งแต่เมื่อ 9 ปีที่แล้ว โดยเสียค่านายหน้าในการนำพาเขาข้ามประเทศมาอย่างผิดกฎหมายด้วยสนนราคา 150,000 จ๊าด
ปัจจุบันเขาทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง มีแรงงานทั้งหมด 80 คน แบ่งเป็นชาย 20 คน และหญิง 20 คน (คนงานทั้งหมดไม่มีพาสปอร์ต) ทำงานตั้งแต่ 08.00 น. – 24.00 น. ลักษณะงานเป็นการตัดเย็บเสื้อและกางเกง ได้ค่าจ้างเป็นรายชิ้น เฉลี่ยขั้นต่ำวันละ 120 บาท (เฉลี่ยเดือนละ 3,000 – 3,600 บาท) โดยก่อนหน้านี้เมื่อหลายปีก่อน เขาได้รับค่าจ้างเป็นรายวันวันละ 70 บาท แต่ภายหลังนายจ้างมาเปลี่ยนระบบการจ่ายค่าตอบแทนจากการทำงานเป็นรายชิ้นแทน ด้านสวัสดิการอื่นๆ นายจ้างจะจัดที่พัก และอาหารให้ 2 มื้อต่อวัน แต่จะหักค่าแรงคนงาน 500 บาทต่อเดือน
ปู ปู อยู่กับภรรยาในบ้านพักที่โรงงานจัดเตรียมให้ โดยภรรยาของเขาก็ทำงาน ณ ที่โรงงานแห่งเดียวกัน แต่เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพทำงานได้ไม่เต็มที่ ภรรยาของเขามีรายได้เฉลี่ยเพียง 2,000 บาท ต่อเดือนเท่านั้น โดย ส่วนลูกหนึ่งคนของเขาต้องฝากไว้กับเพื่อนนอกโรงงาน ซึ่งเขามีค่าใช้จ่ายที่ต้องส่งค่าเลี้ยงดูลูก 1,000 บาท ต่อเดือน
เมื่อถามถึงความหวังในชีวิตการทำงานนั้น ปู ปู ระบุว่าอยากจะได้ค่าแรงมากกว่าเดิม แต่ด้วยปัจจัยเรื่องสถานะที่ไม่ถูกกฎหมาย และการมีครอบครัวทำให้เขาไม่สามารถย้ายงานไปยังพื้นที่ที่ค่าแรงสูงกว่า อ.แม่สอด ได้ โดย ปู ปู เล่าว่าเมื่อก่อนคนงานที่ทำงานในโรงงานเคยมีถึง 200 คน แต่เมื่อมีนโยบายสนับสนุนการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติเด่นชัดขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนงานที่มีพาสปอร์ต ย้ายออกไปทำงานในย่านอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีค่าแรงสูงกว่า (เคยเหลือคนงานทั้งโรงงานเพียง 14 คน)
“ปีที่แล้ว (2554) เพื่อนชวนผมไปทำงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กรุงเทพฯ ได้เดือนละ 9,000 บาท ถ้าผมเอาลูกเอาเมียไปได้ ผมก็ไป” ปู ปู กล่าว
และเช่นเดียวกับแรงงานข้ามชาติทั้งหลาย ปู ปู เองหวังว่าเขาจะได้รับสถานะทางกหมายที่ถูกต้อง แต่เนื่องด้วยค่าแรงที่ต่ำและการที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในครอบครัว การเก็บเงินเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติและเรื่องอื่นๆ ตามมานั้น ยังคงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งสำหรับเขา
ปะแล อดีตแม่ค้าขายน้ำแข็งใสวัย 27 ปีจากรัฐมอญ พึ่งเข้ามาทำงานใน อ.ม่สอด ได้ 1 ปี ในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งริมแม่น้ำเมย โดยโรงงานที่เธอทำงานมีพนักงานฝ่ายผลิตรวม 800 คน เป็นแรงงานหญิง 500 คน ทำงานตั้งแต่ 08.00 น. – 24.00 น. ลักษณะงานเป็นการตัดเย็บเสื้อกันหนาว ได้ค่าจ้างเป็นรายชิ้น เฉลี่ยแล้วปะแลมีรายได้เดือนละ 4,000 – 4,500 บาท โดยนายจ้างมีสวัสดิการอาหารให้สองมื้อ ที่พัก ที่เธอต้องจ่ายเดือนละ 1,000 บาท และค่าคุ้มครองที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่เดือนละ 150 บาท (โรงงานหักจากรายได้ของเธอ)
“คนงานที่เป็นผู้หญิงจะทำงานได้รายได้มากกว่าผู้ชาย เพราะมีวินัยดีกว่า” ปะแล ระบุ
เนื่องจากเป็นคนงานที่มีอายุการทำงานไม่มากในประเทศไทย (พึ่งเข้ามาทำงานได้ 1 ปี) ปะแลระบุว่า ยังไม่พบปัญหาอะไรมากนัก แต่เธอเองก็อยากจะเก็บเงินเพื่อทำพาสปอร์ต อยากเรียนภาษาไทยเพิ่มเติม เพื่อที่จะได้ขยายโอกาสในชีวิตการทำงานของเธอ

การจ้างงาน “กึ่งบังคับ-กึ่งตัวประกัน”
สำหรับการใช้แรงงานข้ามชาติอย่างถูกกฎหมาย การขออนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ ที่ อ.แม่สอด นายจ้างมักจะมีอำนาจต่อรองสูงกว่าแรงงาน สาเหตุเพราะในพื้นที่ อ.แม่สอด ส่วนใหญ่นายจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการทำใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ ในช่วงเริ่มแรก ซึ่งมีความแตกต่างจากพื้นที่เขตอุตสาหกรรมชั้นใน เนื่องจาก อ.แม่สอด เป็นช่องทางที่แรงงานข้ามชาติเข้ามาทำงานสะดวก ไม่มีเงินติดตัวมาเพียงพอจึงมีความต้องการรับจ้างทำงานหาเงิน เมื่อนายจ้างต้องการแรงงานต่างด้าวจึงมีความจำเป็นที่จะต้องชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ก่อน โดยการขออนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ พบว่านายจ้างรายเดิมไม่ยอมแจ้งแรงงานข้ามชาติออกจากงาน หรือแจ้งแต่ไม่มอบเอกสารให้แก่แรงงานข้ามชาติ ทำให้แรงงานข้ามชาติขาดหลักฐานเอกสาร แรงงานข้ามชาติหลบหนีจากนายจ้างรายเดิมที่ยังไม่หมดสัญญาจ้างมาขอรับใบอนุญาตกับนายจ้างรายใหม่จึงขาดเอกสาร จึงมักเกิดปัญหาการแย่งแรงงานถูกกฎหมาย และนำไปสู่การยึดเอกสารสำคัญต่างๆ ของแรงงานไว้
และนี่เป็นสาเหตุเบื้องต้นอย่างหนึ่งของปัญหาการจ้างงานแบบ 'กึ่งบังคับ-ตัวประกัน'
ทั้งนี้นายจ้างมักจะอ้างเหตุผลในการยึดหนังสือเดินทางของคนงานไว้เพื่อแลกกับการชดใช้หนี้ที่เกิดจากการที่นายจ้างต้องสำรองจ่ายทั้งค่าจดทะเบียนและค่านายหน้า ทั้งนี้จากการประเมินเมื่อปี 2554 พบว่า ค่าดำเนินการทำหนังสือเดินทางให้คนงาน ค่าทำใบอนุญาตทำงาน และค่าบริการตรวจสุขภาพ แม้ว่าตัวเลขค่าใช้จ่ายในความเป็นจริงอาจอยู่แค่ 4,500-5,000 บาท (ค่าตรวจสุขภาพ 600 บาท, ค่าประกันสุขภาพ 1,300 บาท ค่าใบอนุญาตทำงาน 1 ปี 1,800 บาท ค่าทำหนังสือเดินทาง 500-1,000 บาท และค่าธรรมเนียมอื่นๆ) แต่นายหน้าบางแห่งยังอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบริการเพิ่มขึ้นไปอีกหัวละ 9,500 บาท
ดังนั้น นายจ้างจึงใช้วิธี จ้างงานแบบ 'กึ่งบังคับ-ตัวประกัน' ยึดหนังสือเดินทางของคนงานไว้เป็นหลักประกันการชดใช้หนี้ของคนงาน และใช้วิธีการต่างๆ ในการขูดรีดแรงงานในระยะยาว เช่น หักค่าแรงเดือนละ 1,200 – 1,500 บาท เป็นเวลา 1 ปี หรือจนกว่าจะครบสัญญาจ้าง เป็นต้น
ส่วนแรงงานที่สถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้นแทบจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเป็นอิสระจากนายจ้าง เพราะอำนาจต่อรองทั้งหมดแทบที่จะอยู่ในมือนายจ้างหมดแล้ว ซึ่งวิธีการหลบหนี ดูเหมือนจะเป็นวิธีการเดียวเท่านั้นที่แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีสถานะถูกกฎหมายใช้เมื่อยามหลังพิงฝา
รวมถึงอุปสรรคเรื่อง "สิทธิการรวมกลุ่ม เพื่อเจราจาต่อรอง" โดยแรงงานข้ามชาตินั้นไม่สามารถตั้งสหภาพแรงงาน-เข้ากลุ่มสหภาพแรงงานที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยได้ ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ระบุว่าผู้มีสิทธิตั้งสหภาพ เป็นคณะกรรมการ หรือเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานนั้นจะต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น ซึ่งถึงแม้จะเปิดโอกาสให้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานได้ แต่ในพื่นที่ อ.แม่สอด โรงงานแต่ละแห่งโดยเฉพาะฝ่ายผลิต ส่วนใหญ่แล้วล้วนแล้วแต่เป็นแรงงานข้ามชาติเกือบทั้งหมด.
ข้อมูลประกอบการเขียน:
ข้อมูลลงพื้นที่สำรวจ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 3 – 4 พ.ย. 2555
ครัวเรือนมือเติบดันสินเชื่อพุ่ง20.4% สศช.หวั่นหนี้เน่าหลอน-ชี้คนไทยความสุขลดลง (ข่าวสด, 27-11-2555)
แม่สอด อ่วมแรงงานต่างด้าวแห่หนี เข้าจังหวัดชั้นในให้ผลตอบแทน 300 บ. (สารหอการค้า, ฉบับที่ 463 ประจำวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2555)
http://www.theccn-news.com/1972-แม่สอด_อ่วมแรงงานต่างด้าวแห่หนี__เข้าจังหวัดชั้นในให้ผลตอบแทน_300_บ..html
"แม่สอด" ความลำบากในอีกรูปแบบหนึ่ง! (วิทยากร บุญเรือง, ประชาไท, 20-1-2550)
แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานจัดระบบแรงงานต่างด้าวภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (ชยชาติ ชูพันธ์, วิทยานิพนธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร, 2551)
แรงงานบังคับ กับการยึดหนังสือเดินทางแรงงานข้ามชาติ (นุศรา มีเสน, มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม 2554)